สะตอผัดกุ้ง
เมนูนี้เอาใจคุณพ่อบ้านและสนองความอยากของแม่ละเอียดเองค่ะ
แม่ละเอียดได้สะตอมาหลายกิโล ทำกินสารพัดได้อีกเป็นอาทิตย์
แต่เนื้อสัตว์ที่นำมาประกอบอาหารร่วมกันกับสะตอแล้วรู้สึกได้ถึงความเข้ากันดี เห็นจะไม่มีเนื้อสัตว์ชนิดไหนเทียบชั้นกุ้งตัวน้อยๆไปได้
แม่ละเอียดแพ้กุ้งค่ะ แต่ไม่มาก
ในยามดื้อที่จะกินให้ได้ก็มีวิธีหลีกเลี่ยงอาการแพ้ของตัวเองได้ด้วยการ
ล้างกุ้งให้สะอาดอย่าให้เหลือมันกุ้งอร่อยๆไว้สักนิดเลยเชียว
ทีนี้เมื่อมันกุ้งที่เป็นจุดเด่นของรสชาติอาหารหมดไปซะแล้วแม่ละเอียดจะทำอย่างไรให้สะตอผัดกุ้งจานนี้
ยังคงความอร่อยไม่แพ้สะตอผัดกุ้งจานไหนๆ เรามาเริ่มลงมือกันเลยดีกว่าค่ะ
วัตถุดิบที่ต้องมี
สะตอ 5ฝัก
กุ้งแชบ๊วย 2ขีด
กะปิ
กระเทียม
รากผักชี
พริกขี้หนู
น้ำปลา
น้ำตาลทราย
มะนาว 1ซีก
วิธีทำ
แกะสะตอแช่น้ำสะอาดรอไว้ กุ้งแชบ๊วยเด็ดหัว ถอดหางออก
ผ่าหลังดึงเส้นดำออกให้หมดและล้างน้ำให้สะอาด
ตำกระเทียม รากผักชี พริกขี้หนู และกะปิเข้าด้วยกัน
ตั้งกระทะนำกุ้งลงไปผัดกับน้ำมัน ตามด้วยเครื่องผัดที่โขลกไว้
สาเหตุที่แม่ละเอียดให้ใส่กุ้งลงก่อนเครื่องผัดก็เพราะว่าเครื่องผัดที่มีกะปิ
เมื่อเจอกับน้ำมันร้อนๆจะกระเด็น
การใส่เนื้อสัตว์ลงก่อนเครื่องผัดที่มีกะปิเป็นส่วนผสมจะช่วยลดความเด้ง
ให้เครื่องผัดไม่กระเด็นใส่แม่ครัวค่ะ
คลุกเคล้าเครื่องผัดกับเนื้อกุ้งให้ทั่ว เมื่อเครื่องผัดละลายดีแล้ว
ใส่สะตอตามลงไปค่ะ
ผัดสะตอกับกุ้งไปสักครู่ สักเกตุให้สะตอสุก ปรุงรสด้วยน้ำปลา
น้ำตาลทรายแล้วปิดไฟ ก่อนยกลงบีบมะนาวลงไป 1ซีก
คลุกเคล้าให้ทั่วอีกครั้งก็ตักใส่จานเสิร์ฟได้เลยค่ะ การบีบมะนาวลงไปจะช่วยให้รสชาติของผัดสอตอจานนี้กลมกล่อมมากขึ้น
ไม่มีเพียงแค่รสเค็มโดดๆถือเป็นการตัดเค็มไปในตัวค่ะ แต่การจะบีบมะนาวลงไปนั้น
คุณแม่บ้านต้องระวังนะคะ อย่าบีบมะนาวลงไปขณะที่ยังเปิดไฟอยู่
เพราะจะทำให้มะนาวมีรสขมได้
สำหรับคุณแม่บ้านที่ไม่เคยทานสะตอและอยากลองทำรับประทานเป็นครั้งแรก
แม่ละเอียดแนะนำให้สลับขั้นตอนการผัด โดย ใส่สะตอลงในกระทะก่อนเป็นอันดับแรก
ตามด้วยเครื่องผัด และตามด้วยเนื้อสัตว์เป็นลำดับสุดท้าย
การใส่สะตอลงไปผัดกับน้ำมันก่อนลำดับแรก จะช่วยให้สะตอไม่ขมและมีแต่ความกรอบมัน
รับประทานง่ายขึ้นสำหรับท่านที่ไม่เคยทานสะตอค่ะ
ในครั้งนี้แม่ละเอียดใส่กุ้งก่อนเพราะต้องการให้กุ้งสุกไปถึงเนื้อในเพื่อป้องกันไม่ให้รับประทานเข้าไปแล้วคันจากการแพ้อาหารทะเลของแม่ละเอียดค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น