วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ทำอาหารกันดีกว่ากับเมนู"หมูแดดเดียวแบบสมุนไพร"



หม่ำ หม่ำ กับ แม่น



เคล็ดลับการทำหมูแดดเดียวแบบสมุนไพร


     เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไม่หมูแดดเดียวที่ขายตามร้านอาหาร มีราคาที่แพงเลยคิดจะทำรับประทานเอง แม่นกเลยไปถามคุณแม่ของแม่นก  เลยได้เคล็ดลับการทำหมูแดดเดียวแบบสมุนไพรมา ที่ไม่ใช่หมูแดดเดียวธรรมดาทั่วๆ ไป ความอร่อยเทียบระดับร้านอาหารเลยที่เดียว เรามาดูส่วนประกอบกัน
1.            หมูเนื้อแดงสันนอกเลือกที่มีมันติดนิดหน่อย 1 กิโลกรัม
2.            ตะไคร้ 3-4 ต้น
3.            กระเทียม 1-2 หัว
4.            พริกไทยเม็ด 1 ช้อนโต๊ะ
5.            เม็ดผักชีแห้ง ½ ช้อนโต๊ะ
6.            รากผักชี 3-4 ต้น
7.            เกลือป่น
8.            ซีอิ้วขาว
9.            น้ำตาลปี๊บ
10.       น้ำซุปกระดูก
     เมื่อได้ส่วนประกอบมาแล้วเริ่มจากให้คุณแม่บ้านนำหมูเนื้อแดงมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นก็นำมาหั่น

     วิธีการหั่นเราจะหั่นเป็นเส้นยาวๆ  หั่นตามขวางตามลายเส้นของเนื้อหมูเพราะเวลานำมารับประทานหมูจะไม่เหนียวจนเกินไป  เมื่อเราหั่นหมูได้เป็นเส้นยาวๆ ประมาณ 2-3 นิ้ว และ มีความหนาประมาณ  0.5-1 เซนติเมตร เสร็จแล้ว ก็พักไว้ก่อน

     เราก็มาเตรียมวัตถุดิบอื่นกันต่อ เริ่มจากให้คุณแม่บ้าน นำพริกไทยเม็ด นำไปตำในครก ตำให้ละเอียดเลยนะคะ จากนั้นก็ตามด้วย  ตระไคร้ และ รากผักชี ที่ทำความสะอาดล้างน้ำแล้วนำมาซอยให้ละเอียด ใส่ตามลงไปแล้วก็ตำให้ละเอียดเช่นกัน  ส่วนกระเทียมให้คุณแม่บ้านปลอกเปลือกออกให้หมดแล้วใส่ลงไปตามด้วยเม็ดผักชี แล้วตำต่อ ครั้งนี้เราตำไม่ต้องละเอียดมากเพราะเราต้องการความหอมของเม็ดผักชีเท่านั้น เมื่อเราตำทุกอย่างครบก็ตักออกมาใส่ชามกะละมังใบใหญ่พอที่จะให้เราคลุกเคล้าหมูกับเครื่องปรุงได้

     จากนั้นให้คุณแม่ตักน้ำซุปลงไปในครกที่เรา ตำเครื่องปรุงก่อนที่จะนำครกไปล้าง ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ แล้วล้างเครื่องปรุงในครก ที่ติดอยู่แล้วเทน้ำที่ล้างครกลงในกะละมังที่เราตักเครื่องปรุงเตรียมคลุกกับเนื้อหมู จากนั้นใส่เกลือป่น ½ ช้อนชา ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ และ น้ำตาลปี๊บ ½ ช้อนโต๊ะ

     จากนั้นใช้ทัพพีคลุกเคล้าให้น้ำตาลปี๊บละลายและให้เครื่องปรุงเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่หมูเนื้อแดงที่เราหั่นเป็นเส้นๆ ไว้ลงไป  ในขั้นตอนนี้ให้คุณแม่สวมถุงมือที่ใช้ทำอาหาร ในการคลุกเคล้าหมูเพื่อให้น้ำเครื่องปรุงเข้าไปในเนื้อหมูได้ดี เวลาคลุกเคล้าให้คุณแม่บีบเนื้อหมูเล็กน้อยเพื่อให้เนื้อหมูนิ่มและให้น้ำเครื่องปรุงเข้าเนื้อ เมื่อเราคลุกเคล้าหมูดีแล้วก็พักทิ้งไว้ก่อนประมาณ 30 นาที รอให้เครื่องปรุงเข้าเนื้อหมูสักพักก่อนที่จะนำไปตากแดด


     เคยสงสัยไหมว่าทำไมถึงชื่อว่าหมูแดดเดียว เพราะว่าเวลาตากแดด เราจะตากแดดแค่วันเดียวสมัยก่อนไม่มีตู้อบเหมือนสมัยนี้ ที่จะทำหมูแดดเดียวก็เข้าตู้อบ 30-45 นาทีเราก็ได้หมูแดดเดียวแล้ว คุณแม่ของแม่นกบอกว่าถ้าวันไหนแดด ดี ดี เค้าจะตากแดด ตั้งแต่แดดอ่อนๆ เวลาประมาณ 10.00 น. – 15.00 น.

     สาเหตุที่ทำไม่เราไม่ตากหลายแดด  ทำไม่ต้องแดดเดียวอีกอย่างเพราะ ถ้าเนื้อหมูแห้งมากเท่าไหร่  เวลาเรามาทอดแล้วนำมารับประทานเนื้อหมูก็จะมีความเหนียมมากขึ้นและเค็มมากด้วย  เราตากหมูแค่เดียวเดียวเนื้อหมูจะแห้งก็จริงแต่ยังคงมีความนุ่มไม่แห้งมาก  เวลานำไปทอดเนื้อหมูก็ไม่เหนียว  สมัยโบราณเค้าใช้วิธีตากแห้งเพื่อเป็นการถนอมอาหารไว้รับประทานได้หลายมื้อ หมูแดดเดียวเช่นกัน แต่สำหรับหมูแดดเดียวจะเก็บไว้นานไม่ค่อยได้ถ้าไม่ได้แช่ตู้เย็นก็เก็บไว้ได้ประมาณ 3-4 วัน เพราะฉะนั้นเวลาทำก็ไม่ต้องทำมาก แต่ ถ้าใส่ตู้เย็นเก็บไว้ จะเก็บได้นานมากถึง 3-4 อาทิตย์ เลยทีเดียว

     แม่นกมีเทคนิคการเก็บที่ไม่ทำให้ตู้เย็นเราเหม็นและเก็บเนื้อหมูแดดเดียวของเราได้นาน  เมื่อคุณแม่เก็บเนื้อหมูแดดเดียวที่ตากแดดมาแล้วให้คุณแม่นำเนื้อหมูที่ได้มาห่อใส่กระดาษจะเป็นกระดาษที่เค้าใช้ห่อข้าวพวกข้าวมันไก่ หรือ อาหารตามสั่ง มีขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปคะ หรือ ถ้าไม่มีจริงๆ ก็ให้ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ แต่ ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ให้คุณแม่นำหมูใส่ถุงก่อนไล่ลมในถุงออกก่อนแล้วจึงห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เพื่อป้องกันน้ำหมึกของกระดาษหนังสือพิมพ์ซึมออกมาใส่หมูเรา เมื่อห่อใส่กระดาษเรียบร้อยแล้วให้ให้คุณแม่บ้านนำใส่ถุงพลาสติก มัดปากถุงอีกครั้งแล้วนำไปแช่ตู้เย็นช่องแช่ผัก เท่านี้เราก็เก็บหมูแดดเดียวไว้ได้นานและไม่ต้องกลัวเสียรสชาติอีกด้วย









วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ทำอาหารกันดีกว่ากับเมนู"ผัดฟักทองใส่ไข่"


หม่ำ หม่ำ กับ แม่นก
ผัดฟักทองใส่ไข่
กับต้มจืดกระดูกหมูใส่มะระหวานและสาหร่ายทะเลสด

     วันนี้แม่นกมีเมนูง่ายๆ และมีประโยชน์และดูเหมือนจะเป็นเมนูยอดฮิต ของบรรดา คุณแม่ทั้งหลาย ด้วยเมนูผัดฝักทองใส่ไข่ วันนี้แม่นกจะนำเสนอการผัดฟักทองในแบบของแม่นกที่ทำให้น้องนาน่ารับประทานกันลองมาดูส่วนประกอบกันค่ะ                                          
            ฟักทอง 1 เสี้ยว ( ประมาณ ¼ ของครึ่งลูก )  ในการเลือกซื้อฟักทอง แม่นกแนะนำให้ซื้อทั้งลูก เพราะเป็นซีกๆ ที่แม่ค้าผ่าขายตามท้องตลาดนั้น เราไม่อาจทราบเลยว่าแม่ค้าเค้าผ่าขายนานแค่ไหน ซึ่งอาจเสียคุณค่าทางอาหารไปได้  ให้คุณแม่เลือกซื้อฟักทองเป็นลูกไปเลย หรือถ้าคุณแม่โชคดีเจอแม่ค้าใจดี เราอยากได้ลูกไหนแต่ว่าไม่อยากเอาหมดทั้งลูกแม่ค้าก็ยินดีผ่าครึ่งขายให้เลย  แต่ส่วนใหญ่เท่าที่แม่นกเจอแม่ค้าเค้าจะผ่ารอขายไว้เลย  หากคุณแม่จำเป็นต้องเลือกซื้อฟักทองเป็นลูกให้เลือกลูกไม่ต้องใหญ่มาก ลูกหนึ่งประมาณ 1 ½  - 2 ½  กิโลกรัม  เวลาเลือกให้คุณแม่สังเกต รอบๆ ผิวฟักทองต้องไม่มีแผลหรือช้ำเพราะข้างในเนื้อฟักทองอาจเสียได้  ให้คุณแม่ลองยกดูจะหนักๆหน่อย เนื้อแน่นๆ เลือกผิวที่ขรุขระสีเขียวเข้มอมน้ำตาล หรือ มีสีเหลืองปนสีเขียวเข้ม ทรงกลมแบนๆ ลักษณะดังกล่าวจะเป็นฟักทองที่แก้จัด  เพราะฟักทองที่แก่จัดเมื่อนำมาปรุงอาหารจะได้เนื้อฟักทองที่หวานมัน เหนียวหนึบ  เนื้อฟักทองที่ไม่แก่จัดเวลานำมาปรุงอาหารเนื้อฟักทองจะไม่ค่อยเหนียว เมื่อสุกแล้วเนื้อเละ  แต่มีคุณแม่หลายท่านที่อาจจะคิดว่าซื้อมาทั้งลูกกลัวรับประทานไม่ทัน  ฟักทองก็อาจจะเน่าหรือขึ้นรา  แม่นกมีเทคนิคที่สามารถเก็บฟักทองได้นานและไม่เสียคุณค่าทางอาหารของฟักทองไปด้วย  เมื่อคุณแม่แบ่งฟักทองเพื่อจะนำมาประกอบอาหารส่วนที่เหลือให้คุณแม่ใช้ปูนแดง  ปูนแดงที่คนเฒ่าคนแก่ ใช้กินกับหมาก หาซื้อได้ตามท้องตลาดสดทั่วๆไปคะ   ให้นำมาทาให้ทั่วตามเนื้อฟักทองที่ผ่าและให้ทาบริเวณข้างในของไส้ฟักทองด้วย ก่อนทาให้คุณแม่เอาไส้ฟักทองออกให้หมดเสียก่อนทาให้ทั่วอย่าให้เห็นเนื้อฟักทองเพื่อกันอากาศเข้าไปได้จากนั้นก็ใส่ถุงพลาสติกหรือซีลด้วยพลาสติกซีลอาหารแล้วนำมาแช่ตู้เย็น เวลาคุณแม่จะนำไปใช้ประกอบอาหารในมื้อต่อไปให้คุณแม่หั่นบริเวณที่ทาปูนแดงออกเท่านี้ก็นำฟักทองมาปรุงในมื้อต่อๆ ไปได้แล้วโดยไม่เสียคุณค่าทางอาหาร
-         ไข่ไก่ 1 ฟอง
-         น้ำมันมะกอก
-         งาดำคั่ว
-         เกลือป่น ½ ช้อนชา
-         น้ำซุป 2 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนการทำให้คุณแม่นำฟักทอง 1 เสี้ยว มาปลอกเปลือกฟักทองออกให้                     หมด จากนั้นมาแบ่งครึ่งตามยาวอีกครั้ง แล้วจึงหั่นฟักทองให้เป็นชิ้นพอคำของปาก           เจ้าตัวเล็ก  อย่าบางเกินไปเพราะผักจะเละ  ล้างน้ำเปล่าให้สะอาด จากนั้นตั้งกระทะ ใส่น้ำมันมะกอกลงไปพอประมาณ ใช้ไฟกลางนะคะ เมื่อน้ำมันร้อน ให้คุณแม่ตอกไข่ไก่ลงไปผัดให้ไข่แดงและไข่ขาวแตกออกจากกัน จากนั้นใส่ฟักทองลงไป ตามด้วยน้ำซุป 2 ช้อนโต๊ะ กันกระทะไหม้ เกลือป่น ผัดให้เข้ากันแล้วทิ้งไว้รอให้ฟักทองเดือดประมาณ 2-3 นาที ไม่ต้องผัดคลอดเวลาเพราะฟักทองจะเละ เมื่อครบ 3 นาทีให้คุณแม่ปิดไฟโรยด้วยงาดำคั่วแล้วผัดไปมาอีกครั้งตักใส่จานข้าวเจ้าตัวเล็กที่ตกแต่ไว้แล้ว

วันนี้แม่นกเสิร์ฟพร้อมกับต้มจืดกระดูกหมูใส่มะระหวานและสาหร่าย ที่รับประทานได้ทั้งเจ้าตัวเล็กและคุณพ่อคุณแม่เลยค่ะ ปริมาณต่อไปนี้คือรับประทานได้ทั้งครอบครัวนะคะ มีวัตถุดิบดังนี้

-         มะระหวาน หรือ ฟักแม้ว ใช้ประมาณ 3 ลูก
-         กระดูกหมู 1 แถว หรือประมาณ ½ กิโลกรัม
-         สาหร่ายทะเลสด  ½ กิโลกรัม
-         ซีอิ้วขาว
-         รากผักชีทุบ
-         น้ำตาล 1 ช้อนชา
-         เกลือป่น 1 ช้อนชา


      เริ่มจากให้คุณแม่นำมะระหวานล้างน้ำแล้วนำไปแช่น้ำยาล้างผักประมาณ 3-4 นาที จากนั้นมาหั่นเป็นชิ้นๆ ให้พอดีคำ  นำกระดูกหมูที่ได้มาหั่นเป็นชิ้นๆ ตามแนวกระดูกหมู หรือหากซื้อตามร้านขายหมูที่ตลาด คุณแม่บอกแม่ค้าว่าจะนำไปต้มจืด  แม่ค้าก็จะสับเป็นชิ้นพอคำให้คะ จากนั้นนำไปล้างน้ำให้สะอาดแล้วพักไว้ แล้วนำน้ำเปล่าใส่หม้อตั้งไฟ ให้คุณแม่ใช้ไฟกลาง ใส่เกลือป่นลงไป รากผักชีทุบ ปิดฝาหม้อรอน้ำเดือดแล้วจึงใส่ กระดูกหมูลงไป   แล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที  เพื่อให้กระดูกหมูเปื่อย  เมื่อครบเวลาให้คุณแม่ใส่ มะระหวานที่หั่นไว้ลงไป  ตามด้วยสาหร่ายทะเลสดพักไว้รอเดือดอีกครั้ง คุณแม่ก็ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวและน้ำตาลคนให้เข้ากัน แล้วปิดฝาพอน้ำเดือดก็ยกลงได้ จากนั้นก็ตักเฉพาะน้ำซุป มะระหวาน
     และสาหร่ายทะเลเสิร์ฟพร้อมกับข้าวหอมมะลิสุกและผัดฟักทองให้เจ้าตัวเล็ก ตกแต่งผลไม้ในมื้อนี้ด้วยแก้วมังกรที่พิมพ์แม่พิมพ์รูปดาวและรูปหัวใจน่ารักๆ 
ส่วนคุณพ่อคุณแม่ เมื่อจะรับประทานต้มจืดกระดูกหมูใส่มะระหวานและสาหร่ายทะเลสด ให้เติมพริกไทป่นลงไปในถ้วยเพื่อเพิ่มความหอมและเผ็ดร้อนนิดๆ เพื่อให้ถูกปากผู้ใหญ่อย่างคุณพ่อคุณแม่




วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ทำอาหารกันดีกว่ากับเมนู"ยำปลาทูสมุนไพร "

หม่ำ หม่ำ กับ แม่น

ยำปลาทูสมุนไพร


เมนูอาหารคาววันนี้แม่นกไปจ่ายตลาดเห็นปลาทูนึ่งใส่เข่งตัวอวบน่ารับประทาน เลยนึกถึงเมนูที่แปรรูปปลาทูทอดเป็นเมนูเพื่อสุขภาพ รสชาติ จัดจ้าน เข้ากันได้ดีกับ          ข้าวสวยร้อนๆ ด้วยเมนู ยำปลาทูสมุนไพร  มีสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพด้วย เรามาดูวัตถุดิบกัน
·      ปลาทูนึ่ง 2 เข่ง
·      มะม่วงเบาหรือมะม่วงกระล่อน  2-3 ลูก
·      ตะไคร้ 2 ต้น
·      หัวหอมแดง 2 หัว
·      กระเทียมหัวใหญ่  3-4 กลีบ
·      ผักชีใบเลื่อย 1 ต้น
·      ต้นหอม 1 ต้น
·      น้ำปลา
·      น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา
·      มะนาว 1 ลูก
·      พริกขี้หนูแดง 2-3 เม็ด
·      พริกป่น ½ ช้อนชา
·      หัวกระชายเหลือง 1-2 กิ่ง

เมื่อๆได้วัตถุดิบเรามาเริ่มเตรียมวัตถุดิบก่อนปรุงกันเลย  เริ่มจากให้คุณแม่บ้านนำปลาทูนึ่งหรือปลาทูเข่งมาทอดให้พอเหลือง เวลาคุณแม่บ้านเลือกปลาทูที่นำมาใช้ให้สังเกตปลาทูตัวอวบๆ สีนวล หน่อย เข่งหนึ่งประมาณ 2 ตัว ราคาเข่งหนึ่งก็ประมาณ 35-40 บาท จะมีเนื้อที่เยอะ และเนื้อจะไม่เค็มมาก 


เมื่อเราทอดปลาทูเสร็จแล้วให้ตักออกจากกระทะแล้วพักทิ้งไว้ให้เย็นก่อน เพื่อเวลาคุณแม่นำมาแกะเอาเนื้อปลาได้ง่ายยิ่งขึ้น ช่วงรอปลาทูเย็น เราก็มาเตรียมวัตถุดิบอื่นกันต่อ ให้คุณแม่บ้านนำ ตะไคร้ ต้นหอม ผักชีใบเลื่อย หรือ ผักชีฝรั่ง ออกจะมีหลายชื่อหน่อย เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม และ ยังเป็นยาขับลมแก้ท้องอืดได้ดีอีกด้วย หรือ                  คุณแม่บ้านจะใส่แต่ต้นหอมอย่างเดียวก็ได้ตามสะดวกค่ะ  นำทุกอย่างมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำมาซอยแบบละเอียด จากนั้นก็นำหัวหอม กระเทียม ปลอกเปลือกล้างน้ำแล้วนำมาซอยละเอียดด้วยเช่นกัน ส่วน หัวกระชายเหลืองให้คุณแม่นำมาปลอกเปลือกเนื่องจากกระชายเปลือกเค้าจะบางมากให้คุณแม่บ้านใช้มีดขูดเปลือกบางๆออกให้หมดแล้วล้างน้ำสะอาด จากนั้นก็นำมาซอยบางๆ ให้ละเอียด 
กระชายเหลืองช่วยย่อยอาหารได้ดีและแก้อาการปวดท้อง มวนในท้อง อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม  แต่จะมีกลิ่นที่แรงอยู่สักหน่อย คุณแม่บ้านบางท่านอาจจะไม่ชอบกลิ่นของกระชาย อาจไม่ต้องใส่ก็ได้ค่ะ เอาตามสะดวก สูตรนี้เป็นของแม่นก หากคุณแม่บ้านจะดัดแปลงเอาเฉพาะวัตถุดิบที่คุณแม่บ้านสะดวกและรับประทานก็ได้ค่ะ หรือ หากรับประทานได้หมดก็ใส่วัตถุดิบตามแม่นกเลยนะค่ะ เพราะเมนูจานนี้ดีต่อสุขภาพจริงๆ แถมไม่มีไขมันเป็นอาหารที่ใช้ในการควบคุมน้ำหนักก็ได้คะ เมื่อเราเตรียมวัตถุดิบพร้อมแล้วให้คุณแม่บ้านมาแกะปลาทูที่เราทอดแล้วพักไว้ แกะเอาเฉพาะเนื้อปลา เอาก้างปลาออกให้หมด  


เมื่อได้เนื้อปลาทูให้คุณแม่นำทุกอย่างที่เราเตรียมไว้เทใส่รวมกันกับเนื้อปลาทูที่แกะคุณแม่บ้านอาจใช้เป็นชามกะละมังใบใหญ่หน่อยในการคลุกเคล้า  ยกเว้นต้นหอมกับผักชีใบเลื่อย แล้วทำการขยำ ให้เนื้อปลาแตกตัวไม่ต้องบีบเนื้อปลาแรงจนเกินไป ในการขยำ โดยให้คุณแม่สวมถุงมือที่ใช้ทำอาหาร เติมน้ำตาลทราย น้ำมะนาว พริกขี้หนูแดงที่ซอยละเอียด และ นำมะม่วงเบาหรือมะม่วงกะร่อน ลูกจะเล็กๆ ตามตลาดเค้าจะขายเป็นพวง ล้างน้ำให้สะอาดจากนั้นก็สับและซอย โดยที่ไม่ต้องปลอกเปลือก เพราะเปลือกเค้าจะบางและไม่ค่อยมียางใส่ลงไป
 ที่แม่นกเลือกใช้มะม่วงชนิดนี้เพราะมะม่วงชนิดนี้เพราะเค้าจะมีความหอมและ          ความเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อยไม่เปรี้ยวแหล่มจนเกินไป  แต่ถ้าหากคุณแม่บ้านหาไม่ได้ จะใช้เป็นมะม่วงแก้วดิบ หรือ มะม่วงน้ำดอกไม้ดิบ ก็ได้เช่นกัน  แต่เนื่องจากมะม่วงทั้ง 2 ชนิดนี้เปลือกเค้าจะมียางและหนา ก่อนนำมาสับและซอยให้คุณแม่ปลอกเปลือกและล้าง น้ำให้สะอาดก่อนนะคะ
ชิมรสชาติดูก่อนที่จะใส่น้ำปลาเพราะปลาทูนึ่งแต่ละที่เค้าขายตามท้องตลาดจะมีรสชาติของปลาทูไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับกระบวนการทำในการแช่น้ำเกลือก่อนนำมานึ่งของแต่ละที่หากแช่น้ำเกลือนานหน่อย ปลาทูนึ่งที่ได้ก็จะมีรสชาติที่เค็มมาก หากแช่น้ำเกลือไม่นานปลาทูนึ่งที่ได้ก็จะมีรสเค็มนิดหน่อย และเมื่อคุณแม่บ้านชิมรสชาติแล้วยังไม่เค็มเท่าที่ควรก็ค่อยเติมน้ำปลาลงไปให้เติมทีหลังก็ได้ให้เติมทีละเล็กน้อยก่อน แล้วชิมจนได้รสชาติที่ต้องการเพราะหากใส่ไปมากเกินเมื่อรสเค็มแหลมออกมาจะแก้ลำบาก จากนั้นใส่ ต้นหอมซอย ผักชีใบเลื่อยซอย และ พริกป่น ลงไปคลุกเคล้าเพียงเล็กน้อย รสชาติยำปลาทูสมุนไพรนี้จะออก เผ็ด เปรี้ยวนำ เค็ม และ หวานเล็กน้อย และ มีกลิ่นของสมุนไพรจน ขึ้นจมูก เท่านี้ก็ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟกับข้าวสวยร้อนๆ หรือจะมีผักสดหรือผักกาดขาวล้างน้ำสะอาด รับประทานแบบเมี่ยงปลาทูก็เข้ากันดีเลยทีเดียว